เดินหางาน-รับจ้างเย็บผ้า! เส้นทางชีวิต "ยุ้ย จีรนันท์" กว่าจะมาเป็นนางเอกแถวหน้า ทำทุกอย่างที่ได้เงิน
LIEKR:
หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ
“มีแค่กระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบอยู่ในห้องเช่าสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ไม่มีเครื่องอำนวยสะดวก รับจ้างสอยผ้า เดินหางานจนคุณแม่เป็นลมบนสะพานลอย” พล็อตเรื่องชีวิตต้องสู้แบบนี้ฟังดูคุ้นๆ และเห็นได้บ่อยๆ ในละครไทย
ที่กว่าชีวิตของนางเอกจะพบความสุขนั้นก็ปาไปถึงตอนจบ แต่ถ้าบอกว่านี่คือชีวิตจริงที่ของนักแสดงอย่าง “ยุ้ย จีรนันท์ มโนแจ่ม” เมื่อราวสิบกว่าปีก่อนที่เธอจะได้เป็นนางเอกแถวหน้าในปัจจุบัน “ยุ้ย จีรนันท์” เป็นเด็กสาวจังหวัดสระบุรี
เติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก และมีคุณตาและคุณยายที่คอยเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอน ตั้งแต่จำความได้ยุ้ยโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกันและก็อยู่กับคุณตาคุณยายมา ยุ้ยมาจากคำว่าศูนย์
ไม่มีสมบัติไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเองเลย ตัดสินใจเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ มาแค่กระเป๋าคนละใบกับแม่และก็มาอยู่ในห้องเช่าสี่เหลี่ยมๆ ที่ไม่มีอะไรเลย เงินก้อนแรกที่เป็นก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตก็เป็นก้อนที่ได้จากประกวดดัชชี่
มันเป็นรางวัลที่เยอะมากสำหรับเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ที่ในชีวิตไม่เคยได้จับเงินเยอะขนาดนี้ และก็ยังเป็นเงินที่ทำให้เราใช้ชีวิตก่อนที่จะเล่นละครและดูแลแม่ดูและตากับยาย
ชีวิตก่อนเข้าวงการยุ้ยบอกกับเราว่าเพราะไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย บวกกับเป็นเด็กที่พ่อแม่แยกทางกันจึงอยากลบคำสบประมาทที่คนชอบมองว่าเด็กที่ครอบครัวแตกแยกจะต้องมีปัญหา จิตสำนึกจึงสั่งให้รักที่จะได้ดี ยุ้ยจึงตั้งใจและขยันทำงานหารายได้ช่วงปิดเทอมเพราะไม่อยากรบกวนตาและยาย
โดยเริ่มทำตั้งแต่งานรีเซฟชั่น เด็กเสริฟ รับจ้างสอยผ้าสอยกระโปรงชุดแต่งงาน และขายของ “ยุ้ยเป็นคนที่คิดอยู่เสมอทำอะไรก็ได้ให้ตากับยายภูมิใจมีความสุขไม่ต้องมาหนักใจ ความคิดเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับยุ้ยตั้งแต่ยุ้ยจำความได้ ยุ้ยรักตากับยายมากที่สุด มากจนที่ทุกอย่างที่คิดที่อยู่จิตใต้สำนึกคือทำทุกอย่างเพื่อตากับยาย อยากเลี้ยงดูตากับยายและแม่ให้สุขสบายที่สุดไม่ลำบากค่ะ” ชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วย “กลีบกุหลาบ”
หลังจากผ่านความลำบากตอนอยู่ต่างจังหวัดแล้วนั้น ยุ้ยได้มาประกวดเวทีดัชชี่ และต้องเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวงกับแม่ ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือการต่อสู้กับชีวิตการทำงานในวงการบันเทิงที่แม้จะได้เป็นนางเอกแล้วก็ตาม
“ตอนนั้นพอเข้าวงการแล้วยุ้ยก็ยังคงลำบากการฝ่าฝันชีวิตจากเด็กธรรมดาไม่มีความสามารถในการแสดง ไม่รู้เรื่องในวงการแต่ก็ต้องสู้เพราะงานแสดงก็คืออีกหนึ่งความฝัน ยุ้ยอยากเป็นนักแสดงโดยที่ไม่หวังว่าจะต้องโด่งดังเป็นนางเอก อะไรเพียงแค่อยากมีรายได้มาเลี้ยงแม่และตากับยาย จำได้ว่าไปแคสงานไม่มีรถก็นั่งรถเมล์ บางทีก็ต้องเดินยุ้ยจำได้วันนั้นต้องข้ามสะพานลอยแล้วแม่หน้ามืดเป็นลม (น้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอ) ตอนนั้นยุ้ยน้ำตาไหลเลยและก็บอกตัวเองว่าอยากทำงานอยากมีเงินให้เร็วที่สุด ยุ้ยจะซื้อรถ ยุ้ยจะทำไม่ให้แม่ลำบาก” หลังจากลงเวทีประกวด “ยุ้ย จีรนันท์” ก็ได้แจ้งเกิดจากบทของ “น้อย” ในละครคมพยาบาท เธอบอกว่าชีวิตเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีงานโชว์ตัวและละครมากขึ้น
และเมื่อมองย้อนกลับไปมองชีวิตในวันที่มีแค่กระเป๋าหนึ่งใบอยู่ห้องเช่าว่างๆ จึงทำให้ภูมิใจที่วันนั้นมีแค่นั้น “ยุ้ยจดจำวันนั้นเอาไว้เลยค่ะ จำเพื่อไม่ให้ตัวเองหลงไปกับชื่อเสียง และก็จะคิดเสมอว่าที่ยุ้ยมีวันนี้ได้เพราะว่าความกตัญญู ยุ้ยไม่เคยคิดว่าตัวเองสวย ไม่เคยคิดว่าตัวเองดัง แต่มันคือการที่ยุ้ยได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ สิ่งที่ดีใจกับตัวเองก็คือนี่แหละสิ่งที่เรามุ่งมั่น คิดดี ทำดี มันก็เลยทำให้เราได้ดี มันยิ่งทำให้ยุ้ยมีความภูมิใจและรักตัวเองมาก
ยุ้ยมีความรู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตยุ้ยมันเกินฝันมากๆ ยุ้ยได้เลี้ยงดูตากับยายได้อย่างดีที่สุด เลี้ยงแม่ เลี้ยงพี่น้อง ลูกหลานทุกคนให้อยู่อย่างสุขสบาย ชีวิตตอนนี้มีทุกอย่างครบแล้ว จากที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ขอบคุณตัวเองที่ใฝ่ดี”
ความกตัญญูคือสิ่งที่นางเอกสาวเชื่อว่าคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเธอประสบความสำเร็จและมีวันนี้ แต่ทุกครั้งที่มองย้อนกลับไปในวันที่ลำบากนางเอกสาวถึงกับน้ำเสียงสั่นอีกครั้งจากความประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งชื่อเสียง
และฐานะเงินทอง “ยุ้ย จีรนันท์” ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าหากชีวิตรู้จักคำว่า กตัญญูกับผู้มีพระคุณและเป็นคนดี สุดท้ายแล้วละครชีวิตตอนจบของนางเอกก็ย่อมสวยงามเสมอ
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก truststoreonline