เมนูใหม่ แก้เลี่ยน จากการกินของมันเยิ้มได้ดี เพื่อให้สบายท้อง ทุกมื้อขาดไม่ได้เลย

LIEKR:

เมนูนี้ไม่เพียงดีต่อสุขภาพ แถมยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย

        เห็ดออรินจิ มีวิธีปรุงได้มากมายหลายวิธี วันนี้แอดมินไลค์เกอร์ก็จะมาแนะนำการปรุงอาหารด้วยเห็ดออรินจิแบบใหม่ เหมาะกับการกินตอนที่ท้องของคุณกำลังเลี่ยนและเอียนจากอาหารมันเยิ้มมาก

    มาดูวิธีทำกันเลย ง่ายมาก ไม่ยุ่งยาก ทำอาหารไม่เป็นก็ทำได้!

ส่วนผสม

        1) เห็ดออรินจิ 4 ต้น 

        2) พริกสด 1 เม็ด (ใส่ได้ตามความชอบ)

        3) เกลือ

        4) น้ำส้มสายชู

        5) น้ำตาล

        6) กระเทียม

วิธีทำ

        1. เตรียมเห็ดออรินจิ 4 ต้น เลือกที่อ้วนพอดีเหมือนในภาพ

        2. ล้างทำความสะอาดเสร็จแล้วนำไปนึ่งในหม้อประมาณ 10-15 นาที จากนั้นลองใช้ตะเกียบเสียบเข้าไปในก้านของเห็ด หากเสียบทะลุแสดงว่าได้ที่แล้ว

        3. รอให้เห็ดเย็น จากนั้นก็หั่นให้เป็นเส้น ๆ (ดังภาพ)  ใส่ในถ้วยขนาดใหญ่พอที่จะสามารถคลุกเคล้าส่วนผสมได้

        4. นำพริกที่ล้างสะอาดแล้วมาหั่นให้เป็นเส้น ๆ และนำผักชีที่ล้างสะอาดมาหั่นเช่นกัน

        5. จากนั้นใส่ลงในถ้วยที่ใช่คลุกเคล้า เติมเกลือ 1 ช้อนชา,น้ำส้มสายชู ½ ช้อนชา, กระเทียมสับละเอียด,น้ำตาลเล็กน้อยและโรยงาลงไปตามความชอบ คนให้เข้ากัน

        6. จากนั้นก็ใส่จานพร้อมเสิร์ฟแล้ว

หมายเหตุ

        1. อย่านึ่งนานเกินไป มิฉะนั้นจะเห็ดจะเนื้อแห้งเกินไป

        2. หลังนึ่งเสร็จอย่ารีบนำมาคลุกทันที 

        3. หากรู้สึกเหนียวเกินไปหลังนึ่ง สามารถนำไปล้างน้ำได้

8 ประโยชน์สุดเจ๋งของ "เห็ดออรินจิ"

        1. มีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ

        2. ช่วยลดอาการปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

        3. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

        4. ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ให้ทุกส่วนต่าง ๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

        5. ช่วยลดความดันโลหิตสูง ปรับความดันให้อยู่ในระดับปกติ

        6. มีคุณค่าทางโภชนาการคล้ายเนื้อสัตว์ สามารถทานควบคู่ไปกับผักสลัด หรือทำอาหารโดยใส่เห็ดแทนเนื้อสัตว์ได้

        7. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ก็เหมาะกับผู้ที่รักสุขภาพ และอยากลดน้ำหนักอีกนั่นแหละ

        8. บำรุงโลหิต ใครที่ประสบปัญหาโลหิตจาง ทานเห็ดออรินจิเป็นประจำช่วยได้แน่นอน

        อย่างไรก็ตามต้องบริโภค แต่พอเหมาะนะคะ

ที่มา : eathealth | เรียบเรียงโดย LIEKR

บทความที่คุณอาจสนใจ